วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประสบการณ์ใหม่ โหด มันส์ หลอน

7/12/13 ทริปภูเก็ตกับอ.ที่ปรึกษาสุดหล่อ คิดว่าจะจนจำทริปนี้ไปอีกนาน เพราะอารมณ์พีคหลายตอน สมองคงจะบันทึกไว้ในความจำระยะยาวกับทริปกับเพื่อนศึกษาศาสตร์เอกภาษาอังกฤษครั้งแรก
ส่วนของเรื่องเที่ยวเนี่ย ดองไว้ในครั้งต่อไปดีกว่า เพราะมีเรื่องที่แซ่บกว่านั้นจะนำเสนอ(เอ๊ะ...แซ่บเหรอ)
     เข้าเรื่องของเราซักที เรื่องที่จะเล่าคือประสบการณ์หลอนของเราครั้งแรก ที่สัมผัสได้ ได้ยิน ได้กลิ่น ต้องขอบคุณ my budder & roomate มิซากิ37(นามสมมติ) และ my buddy แสนน่ารักของเรา (ยังอยากได้หนังสือธรรมมะอยู่นะ กิกิ)ที่ร่วมด้วยช่วยกันกลัว ร่วมกันปิด เพราะกลัวว่าเราจะหลอน ช่วยกันทักจนรู้สึกได้ไปพร้อมๆกัน อุ...ต๊ะ ขนลุกอ่ะ
     วันแรกของทริปภูเก็ตเราไปถึงโรงแรมประมาณทุ่มกว่า โรงแรมที่เราไปพักมีขนาดใหญ่ 18ชั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมืองภูเก็ต ก่อนไปเราก็เช็ครีวิว ในพันดริฟเรียบร้อยว่าโรงแรมเป็นยังไงบ้าง ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ไม่มีสายฉีด อีกแล้วเหรอ??? พอไปถึงเราก็ให้รูมเมทไปหยิบกุญแจมาจากอ.ที่ปรึกษา เธอหยิบชั้น6มาหมดเลยจ้า เอามาแจกจ่ายกัน เพื่อที่พวกเราจะได้อยู่ชั้นเดียวกัน ห้องใกล้ๆกัน สะดวกสบาย และอุ่นใจที่มี pink lady (นามสมมติ) มาอยู่ชั้นเดียวกับเราด้วย เลยสบายใจ
บ่องตงแค่เห็นรูปยังหลอน

    มิซากิไขกุญแจเข้าไปเสียบคีย์การ์ด ให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างทำงาน เราไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เข้าไป รอให้ไฟทุกอย่างติดหมดแล้วเข้าไป เลือกเตียงฝั่งติดกับหน้าต่าง วางของกระจัดกระจายตามสไตล์ของเรา555 ซักพักนึงบัดดี้เราก็เข้ามาในห้อง บอกว่าขอมานอนด้วยดีกว่า ห้องเดิมรู้สึกไม่ดี ไม่ปลอดภัย บัดดี้บอกว่าห้องนี้ดีรู้สึกอบอุ่นดีเนอะ ทำให้เราสบายใจว่า ห้องนี้สงสัยอบอุ่น แต่ที่ไหนได้ อบอุ่นจนร้อนกันเลยทีเดียว
 "เรื่องเกิดตอนที่เราเข้าไปฉี่แล้วชักโครกกดไม่ลง(ดีนะที่แค่ฉี่) มิซากิมาช่วยก็ไม่ได้ เลยคิดว่าจะย้ายห้องกัน ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าจะย้ายห้องเพราะห้องน้ำ ไม่ได้คิดเรื่องอย่างอื่น แต่พอนั่งไปซักพัก พวกเรา3คน ก็ได้ยินเสียงมาจากในห้องน้ำ เสียงครืดๆ เสียงกดชักโครก(โอย...พิมพ์ไปสั่นไป) มิซากิช่วยเรียกสติเราว่า ไม่หรอก สงสัยคงเป็นเสียงจากข้างห้อง ซักพักให้บัดดี้ไปปิดประตูห้องน้ำ บัดดี้ยังไม่ทันเข้าไปปิด เสียงประตูห้องน้ำดังเอง เอี๊ยด อ๊าด 2-3ครั้ง เอิ่มมมมมม จากตอนแรกที่มีเราคนเดียวที่กลัว บัดดี้เราก็กลัวไปด้วย มิซากิทักขึ้นมาอีกว่าได้กลิ่นอะไรมั๊ย เอิ่มมมมม ตอนแรกก็ได้กลิ่นนะ แต่ไม่ได้บอกใคร พอมิซากิทักปุ๊บกลิ่นมาเลยค่ะมาเต็ม คืออยู่ไม่ไหว บอกเลยว่าตอนนั้นสติแตกมาก แต่ดีที่นัดกับเพื่อนลงไปกินข้าวพอดี เลยได้ออกจากห้องนั้น หลังจากกินข้าวพวกเรา3คนกลับมาที่ห้องพักอีกครั้ง บอกตรงๆว่าหลอน ไม่กล้าหันไปทางห้องน้ำ แล้วเตียงเราติดกับหน้าต่าง มิซากิเปิดหน้าต่างไว้ เราก็ไม่กล้าหันไป จนมิซากิต้องมาปิด กระจกที่อยู่ปลายเตียงเราก็ช่วยกันเอาเสื้อคลุมมาปิดให้หมด ตอนนั้นเราไม่กล้าแตะพื้นในห้องนั้นเลย กลัวมากกก เราทำทุกอย่างทั้งแผ่เมตตา ทั้งวางเหรียญ แต่มันรู้สึกอะไรซักอย่างตลอดเวลา จนประมาณ5ทุ่ม พี่พิงค์เลดี้โทรหาเราให้ไปนอนจ้า ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรไปแต่ตัวเฉยๆ จะให้พี่พิงค์มาช่วยไหว้ช่วยขอ แต่เมื่อพี่พิงค์เข้าไปในห้อง บอกให้พวกเราขนของไปนอนกับแกดีกว่า ซึ่งหมายความต้องนอนกันทั้งหมด5คน ตอนนั้นจะยังไงก็ยอม ของที่เราตั้งรกๆ เราสามารถเก็บได้อย่างรวดเร็ว ฮาตรงเสื้อคลุมของเรา3คนที่คลุมกระจกไว้นี่แหละ มันไม่ยอมออก พอเก็บของเสร็จก็รีบวิ่งไปห้อง611 เราถามพี่พิงค์ว่าตกลงห้องนั้นมีอะไร "นั่งกระดิกขาต้อนรับพี่อยู่บนเตียงเลย" คำนี้ยังก้องอยู่ในหัวเราจนถึงตอนนี้ ตอนนั้นขนหลังลุกเกรียวทำอะไรไม่ถูก กลัวมากจริงๆ สติหลุดไปแล้ว บัดดี้ก็ร้องไห้เพราะสัมผัสได้เหมือนกัน ส่วนมิซากินั้นรู้แต่ไม่ยอมบอก"
  เราไม่คิดนะว่าเราจะได้มีประสบการณ์แบบนี้กับเค้าด้วย มิซากิบอกว่าคงเป็นคราวเคราะห์ของเรา แต่การมีประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้เราหันมามองตัวเองใหม่ เราเปรียบเสมือนคนไม่มีศาสนา ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวจิตใจเลย มิซากิบอกว่าไหว้ไปแต่ใจไม่ศรัทธาก็ไม่ช่วยอะไร เราเลยจะเริ่มอ่านหนังสือธรรมะแล้วหล่ะ พอไปวัดฉลองก็เสี่ยงเซียมซีได้ว่าถ้าคิดจะเปลี่ยนอะไรในตัวเองจะเปลี่ยนได้ ซึ่งตรงกับที่เราคิดไว้มากกก เราเลยไปเช่าพระ น้องบอกว่าทำพิธีแล้วให้เอาไว้ใต้หมอนได้เลย
     ขอบคุณทริปนี้ที่ทำให้มีประสบการณ์ใหม่อีกด้านพร้อมทั้งเปลี่ยนเราให้หาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ศรัทธา และมีสติ
สวยๆที่เขาขนาบน้ำมีเจ้พิงค์เลดี้ด้วยลงได้ชิมิ

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Zoo volunteer อาสาสมัครสวนสัตว์รุ่นที่4

ตั้งใจว่าจะอัฟบล็อกตั้งแต่วันที่ไปทำงานที่สวนสัตว์ตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเลย ขอบคุณอ.นกที่ทำให้อยากเขียนบล็อกขึ้นมาอีกครั้ง เย่ๆๆ ประสบการณ์ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมามีมากมายก่ายกองมาก แต่เริ่มจาก Zoo volunteer ก่อนแล้วกัน


เราไปอบรมกันตั้งแต่เดือนมิถุนานู่นนน แต่ได้ปฏิบัติภารกิจกันเดือนสิงหานี่เอง ซึ่งทำครบ2ครั้งแล้ว แต่วันที่6กันยานี้พี่ผึ้ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาของสวนสัตว์เพิ่งโทรมาให้ไปช่วยงาน เด็กๆจากบ้านเด็กสงขลาพัฒนาปัญญาตั้ง 300คน!!!

จ๋า ฟิล์ม เรา พี่ไฟว์
พี่ย๊ะ แก้ว มด
   ตอนไปปฏิบัติงานวันแรกกลัวมาก ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่ก็ยังอุ่นใจเพราะมีพี่ย๊ะไปด้วย เริ่มงานวันแรกเรามีหน้าที่เฝ้าบัส เอิ่มมมม (พี่ย๊ะอยู่ที่การแสดงวิถีชีวิตสัตว์ป่า) หน้าที่ของเราคือคอยจดจำนวนคนที่มาเข้าชมที่มาเป็นคณะ ขอบอกเลยว่าเบื่อมากกกกก เพราะวันนั้นมีบัสมาแค่2คัน
เดียวดายที่ลานจอดรถ
  ตอนบ่ายด้วยความที่เบื่อมากเลยไปอยู่ที่การแสดงวิถีชิวิตสัตว์ป่าด้วย สนุกมากเพราะได้เจอเจ้าเจลลี่หมีขอสุดน่ารัก ไมเคิลกับราฟฟี่นกแก้วแสนรู้ ได้อยู่ดูเบื้องหลัง ดูพี่กล้วยและพี่เจมส์ปล่อยสัตว์แทนที่จะเป็นคนดูเหมือนทุกครั้ง ภารกิจวันแรกสนุกมากทำให้อยากไปอีก
ได้อยู่เบื้องหลังด้วยแหละ
จริงๆแล้วงานอาสาสมัครจะต้องไปทำในวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ช่วงนั้นตรงกับสอบพอดี เราเลยไปวันอังคารกับฟิล์ม ครั้งนี้ไม่ต้องไปเฝ้าบัสแล้วเย่ๆๆ ไปตรงกับวันที่สวนสัตว์เปิดสวนสัตว์เด็กพอดี เด็กเยอะมาก งานของเราคือคอยดูแลเด็กๆนี่เอง 

เด็กๆเยอะแยะมากมาย เต้นแข่งกันด้วย55


    ครั้งนี้มีพี่เติ้ลกับโรสมาช่วยด้วย มาช่วยกันจัดแถวเด็กๆชมการแสดงวิถีชีวิตสัตว์ป่าและโชว์ฮือฮาอย่างการให้อาหารเสือ ซึ่งเด็กๆดูตื่นเต้นมาก เป็นเราซะอีกที่กลัวเสือ และครั้งนี้ได้เจอเจ้าเจลลี่อีกแล้ว หมีขอเป็นสัตว์ที่น่ารักมาก และตัวมันจะหอมมากเพราะมันจะกินแต่ผลไม้ พอฉี่เสร็จหมีขอจะเอาหน้าท้องถูฉี่ของตัวเองทำให้หอมเหมือนป๊อบคอร์น หอมมาก น่ารักมากด้วยเพราะชอบเกาะแข้งเกาะขา และเราได้ใช้ความรู้ที่ได้มาจากการอบรมแล้วเย่ๆ
เจลลี่ปกติผมหากินกลางคืนกลางวันป๋มเลยหลับฮับ
     คนจะเข้าใจว่าเม่นจะสลัดขนเพื่อป้องกันตนเองแต่ความจริงแล้วเม่นจะวิ่งหนีศัตรูเร็วมากแล้วหยุดปึ๊งงงงงง สัตว์ที่ตามมาทีหลังทำไงหล่ะ ชนสิคะ เลยโดนขนเม่นตำไปเลย ดีใจที่ได้ใช้ความรู้ที่อบรมมาให้ข้อมูลเพื่อนและเด็กๆ 
เราสลัดขนไม่ได้นะเว่ยเฮ้ย
 ตอนแรกไม่คิดว่าการทำงานอาสาสมัครจะสนุกขนาดนี้ ยิ่งได้ทำยิ่งรู้สึกสนุกเพราะได้เจอกับพี่ๆที่สวนสัตว์น่ารักทุกคนและที่สำคัญสัตว์น้อยน่ารักต่างๆนั่นเอง
 
 ***วันที่6 ก.ย ช่วงเช้าตั้งแต่ 9โมงจนถึงเที่ยง จะมีเด็กๆจากโรงเรียนสงขลาพัฒนาปัญญามาที่สวนสัตว์ใครสนใจมาร่วมเป็นอาสาสมัครสวนสัตว์กันได้นะคะ หรือถ้าไม่สะดวกอยากจะบริจาคเสื้อผ้าหรือหนังสือให้น้องๆก็ได้ค่ะ

See u @ Songkhla Zoo







วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

Why is The hottest day?



What's in a name? That which we call a rose By any other name would smell as sweet.
ชื่อนั้นสำคัญไฉน? กุหลาบแม้เปลี่ยนนาม กลิ่นยังหอมหวานเสมอไป 
(โรมิโอ จูเลียต)

  ในวันที่ร้อนที่สุดในประเทศไทยเมื่อ20ปีที่แล้ว ได้มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง(ตอนนั้นยังตัวเล็กอยู่) ถือกำเนิดขึ้น วิธีการเกิดของเธอคือการผ่าคลอด เพราะแม่สงสัยว่าทำไม7เดือนแล้ว ไม่ยอมดิ้น หมอให้อัลตร้าซาวด์ดู ปรากฎว่าสายสะดือพันคอ ให้รีบผ่าคลอด เกือบไปแล้วมั๊ยหล่ะ555 
............................................................................................................................
วันเปิดเรียนวันแรก (เหตุการณ์สมมุติ)

รำพึง: เธอชื่ออะไรเหรอ? เราชื่อรำพึงนะ
Me: ชื่อเย็น 
รำพึง:ห๊ะ!!!!!ชื่ออะไรนะ
Me: เย็น เย็นแบบ หนาวอ่ะ พร้อมทำท่าประกอบ
รำพึง:มองหน้า แล้วคิดในใจนี่ชื่อเธอยังเชยกว่าชั้นอีกเหรอ
............................................................................................................................
   เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยมาก เวลาเจอเพื่อนใหม่ คือไม่มีใครคิดว่ายังจะมีคนชื่อเย็นอีก โดยเฉพาะตอนเรื่องนางทาสดังนี่ ชื่อเราป๊อบพิวล่ามากนะ มีแต่คนเรียก "อีเย็นๆ" ก็เฮฮากันไป
   จริงๆแล้วชื่อเล่นที่ครอบครัวญาติพี่น้องเรียกคือ "วันเย็น" ส่วนคนแถวบ้านบางคนฟังเพี้ยน เรียกเป็น หวานเย็น หวันเย็น(ตอนเย็น) วานเย็น(นี่หนักเลย)ก็มี ครูที่สอนพิเศษตอนป.3เรียก เนื้อเย็น ตามละครเรื่องคมพยายาทตอนนั้น อันนี้จำได้55
    ชื่อนี้มันมีประวัติ ชอบเวลาคนถามนี่แหละว่าทำไมถึงชื่อเย็น รู้สึกดีใจที่ชื่อตัวเองมีที่มา555 ย้อนไปก่อนว่าลูกสาวของพ่อชื่อมีที่มาทุกคน 
-คนแรก พี่แมว เกิดมาพร้อมๆกับลูกแมว พ่อเลยตั้งชื่อว่า "ลูกแมว" 
-คนที่สอง พี่นก พ่อตั้งชื่อ "นกบินหลา" เพราะตอนนั้นเพิ่งได้เลี้ยงนกบินหลา 
ส่วนชื่อเรา "วันเย็น" ได้ชื่อนี้มาเพราะเกิดวันที่ร้อนที่สุดในประเทศไทยในปีนั้น 27 เมษายน พ.ศ.2536
เพื่อนชอบถาม เราก็ชอบเล่าจนตอนนี้เพื่อนสนิทรอบตัว ช่วยเล่าที่มาของชื่อเย็นแทนตัวเราเองได้แล้ว...


Happy Birthday to me 

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

น่าฮัก...ประทับใจ@วิดทะยาไลสุดสะกะ

 วันที่11 เม.ย วันนี้ต้องเจอกับเพื่อนๆ ที่วิดทะยาไลสุดสะกะและได้เที่ยวในเวียงจันทน์ ทุกคนตื่นเต้นมาก รีบตื่น เพราะอยากเจอกับเพื่อนๆแล้ว

พร้อมแล้วๆ

 พอถึงเวลานัด ขึ้นไปนั่งบนรถบัสของมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว สรุปว่ารถเสียค่ะ ต้องไปกับรถจัมโบ้
คล้ายตุ๊กๆ3สามล้อ ลุงขับซิ่งมาก แต่ก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ไปถึงวิทยาลัย ทางวิทยาลัยต้อนรับเราด้วยอาหารเช้า เย่ๆๆ มีทั้งสไตล์ฝรั่ง คือ ขนมปัง เนย แยม ไข่ดาว ไส้กรอก และสไตล์ลาวนั่นก็คือ ข้าวเปียก จะได้ชิมอาหารลาวจริงๆมือแรกแล้วจ้า






ข้าวเปียก-อาหารลาวมื้อแรก ชามใหญ่บิ๊กเบิ้มมาก เลยยกมา1ชาม กินกัน4คน เริ่มจากลองชิมน้ำซุปก่อน คือหอมเจียว
จัดเต็มมาก เจ้มจ้นเกิ๊น(เค็มไปหน่อย)โต๊ะข้างๆใส่น้ำปลาไปแล้ว เตือนไม่ทัน เนื่องจากใส่น้ำมันหอมเจียวมากเลยกิน
คล้ายราดหน้า เส้นก็คล้ายๆก๋วยจั๊บ สรุป ให้ผ่านค่ะ 555
       กินข้าวเช้าเสร็จแล้วได้เวลาขึ้นไปห้องประชุมแล้ว ห้องประชุมอยู่ชั้น6ค่ะ ลิฟท์ขึ้นได้ครั้งละ 10คน เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลา และย่อยอาหารเช้าไปในตัว พวกเราเดินค่า เดินขึ้นชั้น6 ระหว่างเดินขึ้นหอประชุมก็ผ่านห้องเรียน ซึ่งเป็นห้องกระจก เรากับนักเรียนลาวก็ได้สบตากัน555 เค้ามองด้วยความสงสัยและคิดในใจว่า ใครวะ? เมื่อขึ้นถึงห้องประชุมก็ไปนั่งที่ที่เตรียมไว้ให้ นักสึกสาลาวฝั่งซ้าย นิสิตไทยฝั่งขวา ระหว่างรอพิธีการก็ทำการสำรวจนักสึกสาลาวกันไป(อย่างรักษาจริต55)

เมื่อถึงเวลาก็มีพิธีกรนักสึกสาของวิดทะยาไลสุดสากะ อ้ายต้นสุดหล่อกับเอื้อยเก๋สุดสวย ทำหน้าที่พิธีกรค่ะ เราก็ได้ฟังพาสาลาวแบบจริงจังใช้ในพิธีการก็ฟังรู้เรื่องนะดีใจ จากนั้นผู้อำนวยการและดร.สุดสะกะก็มาพูดเกี่ยวกับการทำกิจกรรมของนักสึกสาลาวและนิสิตไทย ดร.สุดสะกะบอกว่า วิดทะยาไลนี้เคยไปเรียนรู้งานที่ราชภัฎอุดรฯ แต่เนื่องจากวัฒนธรรมคล้ายกันเลยอยาก"พัวพัน"กับมหาวิทยาลัยทางใต้มากกว่า ชอบแนวคิดของดร.สุดสะกะมาก อีกอย่างคือที่วิดทะยาไลนี้อาจารย์จะอายุต่ำกว่า40ปีเพื่อให้มีแนวคิดที่"คือกัน" หลังจากดร.สุดสะกะพูดจบก็มีกิจกรรมละลายพฤติกรรมนักสึกสาลาวและไทย
รูปจากอ.กฤษณพล
กิจกรรมละลายพฤติกรรมทำให้เราได้ทำความรู้จักกับเพื่อนลาว ได้แนะนำตัวกันครั้งแรก ตื่นเต้นๆ (ในรูปนี้มีนักสึกลาว3คน) เป็นเกมส์ที่เรียกเหงื่อได้ไม่น้อยนั่นคือต้องหาคนให้ครบตามจำนวนและต้องมีทั้งไทยและลาว กลุ่มในขาดหรือเกินก็ต้องโดนทำโทษด้วยการเต้นไป นอกจากจะได้เล่นเกม เต้น แล้วยังได้ให้เพื่อนลาวเขียนชื่อเราเป็นภาษาลาวในป้ายชื่อ ส่วนเพื่อนลาวก็ให้เราเขียนชื่อเค้าเป็นภาษาไทย รู้สึกเสียใจ ลายมือไม่สวย T T จากการเล่นเกมก็ทำให้รู้จักสาวสวย"มีนา" ที่กล้าแสดงออกและโดดเด่นมาก (ตอนหลังจะได้ไปบ้านมีนาด้วย...รอตอนต่อๆไปนะจ๊ะ)
 
หลังจากเล่นเกมและได้ทำความรู้จักกันนิดหน่อยอาจารย์ก็ได้ทำการแบ่งกลุ่ม เป็น10กลุ่ม ซึ่งเราได้อยู่กลุ่ม9 มีพี่ท๊อป,พี่ย๊ะ,จ๋า,เราและเพื่อนลาวอีก2คน คือเกดและเดด (เสียดายไม่มีรูปหมู่เพราะเฟสบุ๊คพี่ท๊อปโดนแฮ็คไปแล้ว)




พี่ท๊อปตากล้องของกลุ่มเรา คณะศิลปกรรมศาสตร์หลักสูตรดุริยางคศาสตร์สากล(มาเต็ม)เอกกีต้าร์นะถ้าจำไม่ผิด วิชาโท นิเทศศาสตร์ พี่ท๊อปละเอียดมาก อยากให้กลุ่มเราได้รูปที่แตกต่าง สิ่งที่พี่ท๊อปต้องการในทริปถ่ายรูปคือ วิถีชีวิต








                                                       
                                                                                                   
                                                                                                                       

      พี่ย๊ะ คณะมนุษย์ศาสตร์ วิชาเอกภาษาอังกฤษ พี่ย๊ะเป็นสีสันในทริปนี้มากด้วยคำฮิตติดปาก"พี่ชาย"555 ช่วยทำให้การถ่ายรูปสนุกสนานมาก ด้วยการยิงมุกกับพี่ท๊อปไม่หยุด









เรา2คนค่า เย็นกับจ๋า คณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกภาษาอังกฤษ หน้าที่ในทริปนี้คือเที่ยว เม้าท์มอย
และคอยยืนกันพี่ท๊อป (กลัวคนเหยียบ) เพราะท่าถ่ายรูปพี่ท๊อปนั้นเสี่ยงมาก ทั้งนั่ง ทั้งนอน กลัวคนเหยียบจริงๆ


   


 เกดและเดด (ข้างๆเดดฝั่งซ้ายนั่นใครน่ะ) เดดทำหน้าที่เป็นตากล้องอีกคนนึงของกลุ่ม ส่วนเกดก็ช่วยเดดถ่ายรูป และคอยอธิบายสถานที่ ที่เราไปเที่ยวกัน 2คนนี้สนิทที่สุดแล้วในเพื่อนลาวเพราะอยู่ด้วยกันทั้งวัน ดีใจมากที่ได้รู้จักเพื่อนทั้ง2คน                                                                                                                                                                          
                                                                                                                                                                   
                                                                                                                                                                         
                                                                                                                                                                                             
                                                                                                                                                                                                                             
หลังจากวางแผนการถ่ายรูปแล้วเราก็ลงมากินข้าวเที่ยงที่วิดทะยาไล มีแกงจืดสาหร่าย ไก่ผัดขิง ซดแกงจืดเกลี้ยงถ้วยค่ะ เพิ่งรู้ว่ามีวายฟายใช้ฟรีก็ตอนที่กินเสร็จพอดี ยังไม่ได้ต่อเลยอาจารย์เรียกขึ้นรถซะแล้วสุดท้ายอยากต่อวายฟายดีนัก รถไม่พอ ต้องเดินเลย T T


หน้าตายังระรื่นอยู่-ด้านหลังเป็นวิดทะยาไล cr.film
และแล้วเราก็เจอแล้วค่ะสิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างนึงของลาวนั่นก็คือฝุ่น ควัน จากดินแดงนั่นเอง เดินไปต้องปิดจมูกไป เพราะฝุ่นเยอะมาก การเดินกลับที่พักทำให้รองเท้ากัด ต้องใส่เกิบ(รองเท้า)แตะและเจ็บเท้า ไปตลอดทริป แต่ไม่เป็นไรเราสู้ค่าาาา ตอนต่อไปจะเป็น one day trip in Vientiane แล้ว อย่าลืมติดตามนะคะ 

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

Beginning of Vientiane trip


   
ดูสภาพสิ
           ในที่สุดพาสปอร์ตเราก็ไม่เป็นม่ายแล้ว
555 หลังจากทำมาตั้งแต่ปี2009 เพื่อไปมาเลเซียตอนม.5 ก็หาทางให้ได้ใช้พาสปอร์ตตลอด ทั้งมาเลฯ จีน แต่ก็ล่มตลอด ครั้งนี้ได้ใช้เพื่อไป"สาธารรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" หรือตัวย่อของเค้า สปป.ลาว ตอนแรกคิดอย่างเดียว ว่าไปให้ได้ใช้พาสปอร์ต555 แต่จากนั้นลองหาอ่านรีวิว อ่านจากพันทิพย์แล้ว มีความอยากไปขึ้นมามากกว่าเดิมมากกกกกกกกก 

     ทริปนี้มีศึกษาศาสตร์เอกภาษาอังกฤษทั้งหมด7คน เรา ฝน ฟิล์ม เมย์ แก้ว มด จ๋า คืนวันที่8ก่อนออกเดินทางไปนอนกันอยู่ที่หอเดียวกันหมดเลย และเนื่องจากก่อนหน้านั้นไปช็อปกันมาที่ตลาดประมง ได้กินข้าวตอน3ทุ่ม ตอนเที่ยงคืน ปวดหัวมากก ตื่นมาอ้วกนึกว่าจะไม่ได้ไปซะแล้วแต่ก็หาย^^(ได้ยาลมแม่)สรุปก่อนออกเดินทางได้นอนตอนตี4ตื่นตี5ครึ่ง


     ตอนเช้าาเรา7คนลากกระเป๋าเดินทางไปตามซอย21หมาเห่าเป็นระยะๆ 555 แวะเซเว่นซื้อของกิน และ
ได้เวลาขึ้นรถแล้ว เย่ๆ เวลานัดกันไว้7โมง แต่รถออกจริงๆ7โมงครึ่ง เตรียมตัวนั่งรถไปอีก1วัน จากภาคใต้ไปถึงภาคกลาง
คุณสาหร่าย-ชุมพร

         คืนแรกไปพักที่กรุงเทพที่โรงแรมนาซ่าเวกัส ถึงประมาณ4ทุ่ม เพลียมาก ตะลึงมาก เมื่อตอนเช้า
อาจารย์บอกว่ามีพี่บางคนไปเที่ยวมา เพื่อนบางคนมีปัญหานอนไม่หลับ ส่วนเราหลับยาวถึงเช้าเลยจ้า

นาซ่าเวกัส cr.google

     เช้านี้ (10 เม.ย)ตื่นเต้นมากเพราะจะถึงลาวแล้ว นั่งรถอีกหนึ่งวันผ่านภาคอีสาน จนไปถึงด่านหนองคาย ตอนไปถึงเย็นมากแล้ว ประมาณ5โมงครึ่ง ต้องรีบเขียนใบขาเข้า-ออก เพราะ กลัวด่านฝั่งลาวจะปิด และกลัวค่าเข้าประเทศจะแพงกว่าเดิม เราเดินลงมาเป็นคนแรกๆและเขียนเสร็จเป็นคนแรกๆ เลยสบายไม่ต้องต่อแถวยาว
ด่านหนองคาย ขอบคุณรูปจากบล็อกใครก็ไม่รู้ค่ะ !!
  พอไปถึงด่านที่ลาวต้องเสียค่าล่วงเวลาเพิ่มไป5บาท จาก40บาท ได้ใบผ่านเข้าลาวมาเหมือนบัตรรถไฟฟ้า และใบขาเข้า-ออก ซึ่งเขียนเยอะมากกกกก ทั้งเลขพาสปอร์ต วันที่ทำวันที่หมดอายุ มาจากไหน พักที่ไหน มาทำไม เสียเวลาเขียนไปเยอะเหมือนกันแต่ในที่สุดเราก็ได้ผ่านเข้า สปป.ลาวแล้ว
ผ่านแม่น้ำโขงซึ่งมองไม่เห็นอะไรเลยเพราะมืดแล้ว

    อาหารมื้อแรกในลาว ประมาณ3ทุ่ม คือก๋วยเตี๋ยวเรือ555ยังไม่กล้าลองอย่างอื่น กินแถวๆพระธาตุหลวง มีร้านM point mart เหมือนเซเว่น ของเกือบทั้งหมดมาจากไทย และแพงขึ้นอีกประมาณ5-10บาท
ซื้อโยเกิร์ตลาวลองด้วย อร่อยดี

    คืนแรกในลาวเราพักกันที่เกสเฮ้าส์จันทะวิสุท ได้รับรู้ถึงสิ่งที่น่ากลัวในลาวสิ่งแรก(ยังมีอีกอย่างนึง) นั่น
คือ ยุง!!!!!!  แต่ก็หลับได้ เพราะเพลีย ตื่นเช้ามาเราไม่โดนอะไร แต่ฝนโดนยุงกัดเป็นรอยไป2ที่ 

        ตื่นเต้นๆ จะได้เจอเพื่อนลาว จะได้เที่ยวในเวียงจันทน์ One day trip in Vientiane จะเป็นอย่างไร
ติดตามได้ในตอนต่อไปและอีกหลายๆตอนจ้า 

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

Review พี่มาก..พระโขนง & คู่กรรม สปอยล์เต็มๆ


            ดีจ้า วันนี้กลับมาพร้อมรีวิวภาพยนตร์2เรื่อง ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้ นั่นคือเรื่องพี่มาก..พระโขนง และ คู่กรรม


       สำหรับเรื่องแรกอยากดูมากเพราะเห็นทีเซอร์แล้วน่าดูมาก ตอนแรกคิดว่าเป็นหนังผีแต่แซมด้วยมุกตลก 

แต่ตอนดูกลับกลายเป็นว่าเป็นหนังตลกที่แซมด้วยผี ตั้งแต่วันที่พี่มากพระโขนงเปิดฉายรอบปฐมทัศน์

ต้องหักห้ามใจตัวเอง ไม่ให้กดอ่านกระทู้ที่มีคำว่าพี่มากพระโขนง รู้สึกอึดอัดมาก ไปดูแบบคาดหวังมาก

 เพราะมี เอ เต๋อ ชิน เผือก จาก 4แพร่งและ5แพร่งและก็เป็นไปอย่างหวัง ฉากแรกคือฉากสงครามสมจริง

มาก แต่เดาไม่ออกเลยว่ามันยุคไหนสมัยไหน 555 ชอบพี่มากใช้สรรพนามเค้ากับตัวเองน่ารักดี ใหม่เล่น

ดีจริงแต่เราว่าไม่เหมาะกับบทแม่นาครู้สึกขัดๆ ชอบตอนที่แม่นาคมองมาจากหน้าต่างเรือน สายตาใหม่

มันสื่ออารมณ์ได้ทุกอย่างจริงๆ ทั้งรักพี่มาก ทั้งสายตาเศร้า หรือตาขู่ตอนที่ชินเห็น คำว่าพี่มากขา 

ประโยคฮิต สำหรับเรื่องนี้เราว่าใหม่เสียงแบ๊วเกินไม่หลอน แต่ฮามุกมากตอนแรกไม่เก็ท มุกพี่มากขาพอ

เห็นกิ้งกือ ตะขาบ ฮาเลย ฮาดีเลย์ด้วย อายยย จริงๆถ้าจะรีวิวพี่มากนี่คงต้องทั้งเรื่องเพราะชอบทั้งเรื่อง 

ฮาทั้งเรื่องจริง เอาเป็นว่ามุกที่ชอบคือตอนที่เพื่อนๆคิดว่าเอเป็นผี คือมันซ้ำกับเรื่อง 4แพร่งและ5แพร่งก็

จริง แต่ชอบเพราะผู้กำกับพลิกแพลงได้ตลอด ยอมรับว่าเดาไม่ออกจริงๆ งงไม่รู้ใครเป็นผีกันแน่ ชอบ

การนำเสนอแบบแฟลชแบ๊ค(เอาคำจากพันทิพย์มา^^)คือการที่บอกย้อนหลังว่าที่จริงตัวละครไปทำอะไร

มา เช่น ที่เอไปขโมยแหวนแม่นาค ที่พี่มากรู้ความจริงว่านาคเป็นผี  เรื่องนี้ให้9/10 ตัดคะแนนตอนกลางๆ

มียืดไปหน่อย บางมุกที่เดาออก แนะนำให้ไปดูจ้า กันพี่มากให้ถึง300ล้านเลยเอ้า 




        คู่กรรมวันนี้ไปด้วยความรู้สึกที่ว่าทำไมคนต้องด่าริชชี่ด้วย จะด่าอะไรขนาดนั้น เลยลองไปพิสูจน์ 

บอกเลยว่าไปด้วยความอคติล้วนๆ ผิดหวังกับหนังไว้ก่อนเข้าโรง อ่านสปอยล์หมดแล้ว รู้ทุกอย่างใน

เรื่องยกเว้นดูนี่แหละวันนี้เลยไปพิสูจน์ ตอนแรกดูแบบอคติมาก นั่งดูไปซักพักเอ๊ะจะอคติทำไมณเดช

หล่อ นางเอกก็น่ารัก(ถ้าไม่พูด)ไปนั่งขมวดคิ้วอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง พอถึงฉากที่โกโบริพานางเอกหนี

ระเบิดที่สะพาน ฉากที่หลายคนบอกว่านางเอกพูดในใจทำไม? ฮา แต่เรากลับชอบฉากนี้มากกกก


 (หรือเพราะอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นกับดูซีรี่ย์ไต้หวันมากเกิน 2อย่างนี้นางเอกมักพูดในใจ) ฟินสุดๆ 

ฉากที่ฮิเดโกะซ้อนจักรยานโกโบริ มันดูเป็นธรรมชาติ รูปสวย องค์ประกอบเป๊ะ อีกอย่างนึงที่นางเอกพูด

เรากับนายกับพระเอกหลายคนว่าไม่เหมาะสมแต่เราว่าน่ารักดี (คล้ายนิยายแจ่มใส) 

อีกฉากที่ชอบคือฉากจบ ไม่เข้าใจว่าทำไมเสียงนางเอกถึงดีกว่าเดิม ไม่ดูห้าวๆ แปร๋นๆ เหมือนตอนแรก 

ตั้งแต่วนัสมาหาจนถึงตอนจบรู้สึกชอบมาก ฟินอีกรอบแบบน้ำตาไหล ส่วนคนข้างๆกัดปาก

กลั้นหัวเราะบอกโกโบริเหมือนซอมบี้

         สำหรับเรื่องที่จะติมีเยอะ55 เรื่องแรก การตัดต่อช่วงแรกที่เร็วมาก ฉึบฉับตัดสลับไปมา 

สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านหรือดูคู่กรรมจะไม่รู้เลยว่า พระเอกกับนางเอกรักกันได้ยังไง พ่อนางเอกคือใคร 

ส่วนสำหรับคนที่เคยอ่านหรือดูเวอร์ชั่นก่อนๆจะคิดว่า ตาผล ตาบัว จากชาวบ้านขโมยน้ำมันทำไมกลาย

เป็นเสรีไทย ยายเมี้ยนปากตลาดหายไปไหน อังศุมาลินไม่ตีขิมรึไง โกโบริไม่ไปรอที่ทางช้างเผือก

แล้วเหรอ แล้วทางช้างเผือกหล่ะ?? 

สงสารฝนเพราะฝนอ่านคู่กรรมและซาบซึ้งกับบทประพันธ์มาก สำหรับเราถ้าไม่เคยรู้เรื่องย่อหรือ         

อ่านสปอยล์มาก่อนก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจมั๊ย เรื่องที่จะติอีกอย่างนึงคือเสื้อผ้านางเอก แต่งได้อังกฤษ

มาก กระโปรงลายสก๊อต รองเท้าบู๊ต พาดผ้าพันคอ(ขาวม้า)ซะอย่างกับเพิ่งลงจากเวทีแฟชั่น

คือไม่เข้าใจนี่มันยุคสมัยไหนกัน ฉากปล้ำที่หลายคนชม เรากลับไม่ชอบไม่ฮา ณเดชแสดงดีมากแต่ริชชี่

เหมือนไม่รับอารมณ์ บ่องตงอยากฟินฉากนี้แต่ไม่ฟิน มันไม่สุด เอ่อ ตอนแรกจะรีวิวนิดเดียว

ต่กลายเป็นยาวมาก เพิ่งดูเมื่อกี๊อารมณ์ยังค้างอยู่ เรื่องนี้ให้คะแนน3/10 มาจากฉากสะพานระเบิด 

ฉากใกล้จบ และภาพที่สวยงามมาก จนคนข้างๆพร่ำเพ้อ 

ป.ล อุดหนุนหนังไทยกันเยอะๆนะ



ป.ล 2 ส่งย่าสู่สวรรค์ตอนที่2 ไม่ได้ลืมนะ แต่รอให้เสร็จพิธีการจริงๆก่อน จะได้อัปทีเดียว^^

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

ส่งย่าสู่สวรรค์ Part 1

     อยู่ช่วยงานในงานศพย่ามา3วันแล้ว เหนื่อย เพลีย แต่ก็ทำให้คิดถึง งานศพครั้งแรกที่เสียใจที่สุด

งานศพของพ่อ เมื่อ2ปีที่แล้ว จำได้ว่าตอนนั้นย่ายังแข็งแรงอยู่เลย ผ่านไป1ปี ย่าเป็นมะเร็งปอด โดยที่

แม่และญาติๆ ไม่ได้บอกให้ย่ารู้

        พ่อเสียตอนปลายเดือนมกราฯตอนนั้นคิดว่า แล้วตรุษจีนหล่ะ เชงเม้งหล่ะ จะจัดการยังไง แต่ก็ยังดี

ที่มีย่าอยู่ ทำให้ทำสืบต่อกันมาได้ พอมาปีนี้ในวันตรุษจีน ลูกๆหลานๆมากันเยอะมาก ทำให้ย่าดีใจ

ปีนี้ย่าจะอายุ91แล้ว แต่ความทรงจำของย่ายังดีเลิศ จำลูกหลานได้ทุกคน ทั้งที่มีมากมาย

ย่ากลับลูกๆพ่อทั้งหมด6คน เมื่อ2ปีที่แล้ว




วันตรุษจีน 2556 จริงๆมีเยอะกว่านี้อีก เรา,สุ,พี่แหม่มเป็นหลาน นอกนั้นเป็นเหลนทวดหมด

          ย่าชอบเล่าความหลังให้ฟัง ที่ชอบที่สุดและย่าชอบเล่าคือเรื่องที่ย่าเป็นแม่ค้าที่ตลาดนัดควนหิน 

สมัยสงครามโลกครั้งที่2 มีทหารญี่ปุ่นเข้ามาตลาด ย่ากลัวเลยหอบพ่อที่ตอนนั้นยังไม่ถึงขวบหนีกลับบ้าน

เรื่องก๋งที่นั่งเรือสำเภามาจากประเทศจีนมาเป็นวิศกรรถไฟเลยเจอกับย่า รางรถไฟไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก 

อยู่หลังบ้านย่านี่เอง

           การได้ฟังเรื่องในอดีตนั้นทำให้รู้ว่า เราเป็นมายังไง เหมือนในวิชาประวัติศาสตร์ หลังจากนี้
                 
ไม่มีย่ามาเล่าให้ฟังอีกแล้ว แต่เรื่องราวต่างๆนั้นยังคงอยู่ในใจ เหมือนที่ย่ายังอยู่ในใจนั่นเอง

ป.ล 1 พรุ่งนี้ต้องเป็นตากล้องในงานฌาปณกิจของย่า ก่อนไปเรียนรู้การถ่ายรูปที่ลาว 

ป.ล 2 เขียน Part 1ไว้เพราะคาดว่าจะมีตอนต่อไป *มีแน่ๆ* 





วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Begin again

จริงๆตั้งใจจะเขียนบล็อก มานานมากกกกกกกกก

บล็อกในexteenไม่รู้หายไปไหนแล้ว เคยใส่อะไรเข้าไปบ้างก็ไม่รู้ เสียใจ T T

ใครไม่รู้เอาตัวละครในดิสนีย์มาแต่งเป็นฮอกวอต
นางเอกเรื่อง brave อยู่กริฟฟินดอร์
ราพันเซลอยูเรเวนคลอ พระเอกโฮเทลทรานซิวาเนีย อยู่ฮัฟเฟิลพัพ
ใครไม่รู้อยู่สลิธีรินหน้าตาชั้่วร้ายมาก
เริ่มใหม่อีกครั้งยังไม่สาย^^

ใส่รูปนี้ทำไม?

*อยากเรียนฮอกวอต ราพันเซลอยู่เรเวนคลอ*

อัปเดต ฝนฟ้าอากาศช่วงนี้หน่อย ฝนตกมา2วันแล้ว ตกๆหยุดๆ เกลียดฝนตกที่สุด ชื้นแฉะ แหยะๆ เสื้อผ้าไม่แห้ง อันนี้สำคัญ

หวังว่าต่อไปคงไม่ต้องbegin again

อีกแล้วนะ ปณิดา...